วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฮวงจุ้ย บทที่ 7 : สะพาน

ะพาน ความหมายจาก พจนานุกรมแปลไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
น. สิ่งปลูกสร้างที่ทำสำหรับข้ามแม่น้ำลำคลอง เป็นต้น บางทีทำยื่นลงในน้ำสำหรับขึ้นลง ไม้ที่ทอดระหว่างหัวเสาสำหรับรับคอสองของอาคารที่เป็นตึกโบราณ โดยปริยายหมายความว่า สื่อเชื่อมโยง

เรื่องของสะพาน ในศาสตร์ฮวงจุ้ยก็สำคัญไม่ใช่น้อย โดยในปัจจุบันนอกจากสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามทางน้ำ ยังมีสะพานลอยของถนนให้รถข้ามแยกและสะพานยกระดับ, สะพานคนเดินข้ามถนน สะพานลอยคนเดินยกระดับเชื่อมต่ออาคารและสะพานรถไฟฟ้า

และด้วยลักษณะของสะพานที่เป็นทางยาวพาดผ่าน บางสะพานคดเคี้ยวจึงถือเป็นตัวมังกรอีกด้วย โดยถือว่าสะพานข้ามน้ำเป็นมังกรน้ำ, สะพานรถข้ามแยกและยกระดับเป็นมังกรดิน, สะพานคนเดินเป็นมังกรไม้ และสะพานรถไฟฟ้าเป็นมังกรไฟ โดยมังกรแต่ละประเภทให้คุณและให้โทษแตกต่างกัน โดยพิจรณาตำแหน่งดังนี้


  • ตำแหน่งของบ้านที่อยู่ด้านทางขึ้นสะพาน ถือเป็นตำแหน่งที่ดี ในศาสตร์ฮวงจุ้ยถือเป็นการชะลอกระแสชีทำให้ที่อยู่หรือพื้นที่ใช้ประโยชน์บริเวณนั้นสามารถเก็บกระแสพลังงานดีได้มากขึ้น ถ้าจะอธิบายอย่างวิทยาศาสตร์ ก็คงเป็นเรื่องของต้องใช้ความระมัดระวังในการสัญจรเวลาเราจะขึ้นสะพานก็ต้องใช้ความระมัดระวัง ลดความเร็วของยานพาหนะ สามารถเปิดโอกาสสร้างจุดสังเกตในบริเวณนั้นมากขึ้น

    ในทางกลับกันปลายสะพาน ในศาสตร์ฮวงจุ้ยถือว่าไม่สามารถกักเก็บกระแสชี สะสมพลังงานดีได้ เพราะมีกำลังแรงและพุ่งผ่าน อธิบายแบบวิทยาศาสตร์ได้เช่นกันคือ เวลายานพาหนะลงจากที่สูงมักใช้ความเร็วมากกว่าอีกทั้งจุดสนใจมักอยู่ไกลออกไปจากปลายสะพาน
วิธีแก้ไข : ให้ติดไฟกระพริบ หรือลูกแก้วคริสตัล(  Crystal ) หรือ Mirror ball
Credit Picture : http://blog.thepixelstick.com
ดังที่ได้กล่าวเบื้องต้น นอกจากสะพานข้ามทางน้ำแล้ว ในปัจจุบันยังมีสะพานในลักษณะอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกตามยุคตามสมัยต้องพิจารณาเพิ่มในเรื่องของสะพานที่พาดผ่านทางบกนี้( ให้รวมถึงสะพานลอยคนเดินข้ามถนน,ยกระดับ และสะพานรถไฟฟ้า )เนื่องจากมีโอกาสสร้างพาดผ่านบ้านเรือนหรือพื้นที่ใช้ประโยชน์ ในส่วนนี้มีหลายประเด็นที่ส่งผลกระทบทั้งด้านดีและด้านเสียหายแตกต่างกัน โดยแยกพิจารณา

👉สะพานลอยรถข้ามทางแยก, ข้ามถนน หรือยกระดับ พื้นที่อยู่ทางด้านทางขึ้นสะพานถือว่าเป็นตำแหน่งที่ดีกว่าเช่นกัน
  • สถานที่ค้าขาย การมีสะพานเหล่านี้พาดผ่านให้ดูบริเวณทางขึ้นลงและพิจารณาความห่างระหว่างสถานที่และสะพานว่ามากน้อยเพียงใด ถ้าห่างจากจุดขึ้นลงและห่างจากตัวสะพานเกิน 30 เมตร จึงจะถือว่าไม่กระทบกระแสเสีย แต่ถ้าอยู่ใต้ทางขึ้นลงหรือห่างจากตัวสะพานน้อยกว่าถือว่าไม่ดี 
  • ที่อยู่อาศัย ในตำแหน่งดังกล่าวถือว่าเสีย เพราะกระแสหยางมากไป
วิธีแก้ไข : ให้ปลูกต้นไม้ โดยใช้ไม้เถาจัดแต่งทำพุ่ม เช่นต้นบานบุรี, เหลืองชัชวาลย์ เป็นต้น และเชื่อมธาตุให้สอดคล้องกับทิศของทำเล
★★ห้ามใช้ ต้นเฟื่องฟ้า( เพราะเป็นไม้มีพิษ ใช้ปลูกในที่โล่งแจ้งได้แต่ไม่ควรปลูกติดอาคารที่อยู่ออาศัย ) และห้ามติดกระจกสะท้อนเพราะภาพของถนนจะมาปรากฏที่กระจกเท่ากับดึงกระแสเสียให้เข้ามาเพิ่มขึ้นอีก

👉สะพานรถไฟฟ้า รายละเอียดเช่นเดียวกับ" สะพานรถข้ามแยก และยกระดับ "

วิธีแก้ : ตั้งตำแหน่งน้ำพุ และเชื่อมธาตุให้สอดคล้องกับทิศของทำเล
★★ห้ามใช้ กระจกสะท้อนเพราะภาพของสะพานรถไฟฟ้าจะมาปรากฏที่กระจกเท่ากับดึงกระแสเสียให้เข้ามาเพิ่มขึ้นอีก

👉สะพานคนข้ามและสะพานลอยคนเดินยกระดับ กรณีทางขึ้นลงและพาดผ่านรายละเอียดเช่นเดียวกับลักษณะสะพานที่กล่าวข้างต้นทั้งหมด
Credit picture : www.google.co.th

ในกรณีที่สะพานพุ่งชนทำเล ก่อนลงบันไดถือว่าเสียทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นอาคารพาณิชย์ หรือบ้านที่อยู่อาศัย ในกรณีนี้ไม่คำนึงถึงระยะความห่างของตัวสะพาน 

วิธีแก้ไข : ติดไฟส่องขึ้นตัวอาคารให้สว่าง
ในกรณีสะพานพุ่งชนทำเล ถ้าเป็นบ้านให้ปลูกต้นไม้สูงและปรับธาตุให้เข้ากับทำเลบ้าน หากเป็นอาคารพาณิชย์ที่ไม่มีเนื้อที่ ให้ติดป้ายชื่อธุรกิจ หรือป้ายโฆษณา หากไม่ต้องการอาจทำบานเกล็ดปิดอาคารในส่วนที่สะพานวิ่งชนกระทบแล้วปรับธาตุให้เข้ากับทำเล

ทั้งหมดจะเห็นว่า การปรับแต่งแก้ไขฮวงจุ้ยหากเข้าใจพื้นฐานเราสามารถใช้ความรู้ให้ไม่กระทบขัดแย้งกับคนรอบข้างและสภาพแวดล้อมได้อย่างกลมกลืน ไม่ใช่เอะอะก็ติดฮู้ ติดยันต์ ติดกระจก ตั้งเสือ ซึ่งบางครั้งการแก้ไขหรือปรับแต่งฮวงจุ้ยถ้าไม่คำนึงถึงความสมานฉันท์กลมกลืน ก็สามารถกลายเป็นความขัดแย้งต่อคนรอบข้างบ้านใกล้เรือนเคียงได้อย่างไม่ตั้งใจ.

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฮวงจุ้ย บทที่ 6 : ถนน


Credit picture : https://giphy.com

ารจัดปรับแต่งฮวงจุ้ยที่ดีนอกจากพิจารณาในส่วนต่างๆของพื้นที่ใช้สอยดังที่กล่าวในบทต้นๆแล้ว ควรพิจารณาสภาพแวดล้อมของสถานที่ประกอบด้วยเป็นเรื่องสำคัญ

Credit picture : http://all-that-is-interesting.com
ถนน เป็นอีกเรื่องที่สำคัญในศาสตร์ฮวงจุ้ย เนื่องจากแต่เดิมทีการจราจรยังไม่สะดวกอาศัยทางน้ำเป็นหลัก แต่ปัจจุบันการปรับศาสตร์ให้เข้ายุคเข้าสมัยจึงเปรียบถนนเป็นเสมือนสายน้ำ..ถือว่าเป็นช่องทางในการเดินทางไปยังสถานที่นั้นๆ และช่องทางส่งให้เกิดความเจริญ, ลาภผลต่อสถานที่นั้นๆ จะเห็นว่าลักษณะการไหลของ "กระแสชี" จะไปตามทางเดียวกับที่ยานพาหนะวิ่ง( ดูภาพเคลื่อนไหวประกอบ )ดังนี้ทุกครั้งที่พิจารณาทำเล, สถานที่ใช้สอย เราต้องพิจารณาการเคลื่อนไหวของพื้นที่ในบริเวณนั้นด้วยว่ามีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด ให้คุณหรือให้โทษ ส่งเสริมเกื้อหนุนหรือทำร้าย หรือพื้นที่นั้นไม่มีความเคลื่นไหวหรือเคลื่อนไหวน้อย เพื่อจัดแต่งทำเลของสถานที่, พื้นที่ใช้สอยนั้นๆให้เกิดสมดุลทั้งในเรื่องกระแสชี, หยิน-หยาง, ตำแหน่งที่ได้รับการส่งเสริมและแก้ไขตำแหน่งที่ถูกทำร้ายให้เหมาะสมกับการใช้สอยของพื้นที่ ว่าใช้ประโยชน์ในแบบใด

จากในภาพหากอยู่ในอาคาร( ซึ่งอยู่ด้านซ้ายของภาพ )แล้วมองออกมาที่ถนนจะเห็นว่ากระแสชีไหลมาจากทางซ้ายมือของตัวอาคาร 
ในกรณีที่ติดถนนใหญ่หากเป็นร้านค้า, ผู้ประกอบอาชีพค้าขายขนาดใหญ่ หรือผู้ที่ต้องติดต่อสื่อสารกับผู้คนจำนวนมากถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งที่ดี แต่กลับกันไม่เหมาะกับเป็นที่พักอาศัยเพราะมีสภาพของ "หยาง" มากเกินไป ในกรณีหากเป็นซอย หรือทางสัญจรที่แยกออกมายิ่งเป็นทางแคบกลับไม่เหมาะต่อสถานประกอบการทางการค้าขนาดใหญ่ หรือผู้ประกอบการที่ต้องพบปะผู้คนจำนวนมากเนื่องจากสภาวะ "หยิน" จะเพิ่มตามกำลังของสภาพคล่องของการสัญจร กลับกันคือเหมาะกับทำเป็นที่พักอาศัยเป็นต้น.

ลักษณะของถนนที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจ
Credit picture : https://commons.wikimedia.org
  • อันดับต้นๆที่คนมักกล่าวถึงกับเรื่องฮวงจุ้ยคงหนีไม่พ้นลักษณะถนนที่เป็น "ทางสามแพร่ง"
ทางสามแพร่ง คือทางที่ถนนตัดกันเป็นรูปตัว T หลายคนพอได้ยินว่าเป็นทางสามแพร่งก็นึกกลัวเอาเสียแล้ว แต่แท้จริงแล้วทางสามแพร่งให้คุณกับผู้ที่มีดาวอังคาร( ดาว๓ )ที่เป็นคุณในพื้นดวง( ✨ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องยืนยันว่าควรต้องศึกษาในเรื่องโหราศาสตร์เพื่อ่านชะตาชีวิตผู้ใช้ประโยชน์ในสถานที่นั้นๆประกอบด้วย )และสนับสนุนอาชีพบางอาชีพ เช่น ทหาร, ตำรวจ, หมอ, ร้านค้าที่ขายอุปกรณ์มีคม( เครื่องมือแพทย์, เครื่องครัว ), ร้านขายอาวุธยุทโธปกรณ์, ร้านขายโรงศพ, ตลาดของสด เป็นต้น

ก็มีอีกว่าแล้วในกรณี ถ้าคนที่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่อยู่บนทางสามแพร่งแล้วไม่ได้มีอาชีพดังที่กล่าวมา หรือไม่ได้มีดาวอังคารให้คุณในพื้นดวงจะมีวิธีแก้อย่างไร? 
หลายๆคนที่เคยคุยกับพี่กวาด ก็จะได้ยินบ่อยๆว่า "ในสถานที่ที่เราใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือสถานที่ประกอบอาชีพต้องมีมังกร ครบ 3 ตัว คือมังกรทำเล, มังกรสถานที่, และตัวเราก็ถือเป็นมังกรอีกตัว" ดังนั้นเราสามารถอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้เพียงปรับแต่งทำเล, สถานที่อยู่ให้สอดคล้อง
 ในกรณีนี้ถ้าเช็คแล้วว่าในพื้นชะตาชีวิตเราไม่มีดาวอังคารให้คุณ และไม่ได้มีอาชีพดังกล่าวข้างต้น เราก็ยังสามารถปรับทำเล และสถานที่ให้สอดคล้องกับเราได้ และวิธีที่ดีที่สุดคือการปรับทำเลที่อยู่, ที่ใช้ประโยชน์ของเราให้สอดคล้องกับสภาพโดยรวม ต้องไม่ข่ม, ไม่ทำร้าย, ไม่สร้างศัตรู, ไม่สร้างกระแสลบ ให้กับคนรอบข้างบ้านใกล้เรือนเคียง.
อันดับแรก : ให้ดูว่าบ้านหรือสถานที่ที่เราใช้ประโยชน์อยู่เป็นธาตุอะไรโดยดูว่าหลังอิงทิศไหน สถานที่นั้นก็เป็นธาตุนั้น( clickดู👉 รายละเอียดเรื่องธาตุในบทที่ 2 )
อันดับที่สอง : ให้ดูว่าทางถนนที่วิ่งมากระทบสถานที่ที่ใช้ประโยชน์ของเรามาจากที่กี่องศามาจากทิศไหนเป็นธาตุอะไร
อันดับที่สาม : ให้ทำการเชื่อมธาตุระหว่างธาตุของสถานที่และธาตุของทางถนนให้สอดคล้องไม่ขัดแย้งกัน เช่น หลังบ้านอิงทิศตะวันตกเป็นบ้านธาตุทอง ถนนวิ่งมาจากทิศใต้ธาตุไฟ ให้ใช้ธาตุดินเชื่อม
อันดับที่สี่ : พิจารณาว่าทางที่วิ่งมานั้นกระทบกับส่วนใดของสถานที่บ้าง( clickดู 👉รายละเอียดทิศและความสัมพันธ์ในบทที่ 3 )แล้วทำการแก้ตำแหน่งที่โดนกระทบนั้น เช่น ถ้าถนนตรงมากระทบบ้านในทิศใต้(  ตำแหน่งความสัมพันธ์ของทิศใต้คือ ลูกสาวคนกลาง )หากสมาชิกในบ้านไม่มีลูกสาวคนกลางก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้ามีให้ผูกชะตาแล้วใช้สีและดาวในพื้นดวงช่วย ให้แต่งห้องเช่นเฟอร์นิเจอร์,หมอนอิง หรือม่านด้วยสีขาว, ชมพู, น้ำตาล เป็นต้น.

🌟 การติดกระจกแปดเหลี่ยมเสือคาบดาบหรือ ตั้งช้างคู่, เสือคู่ ฯลฯ ก็สามารถทำได้ หากแต่วิธีที่แนะนำนี้เป็นวิธีแก้อย่างผู้มีความรู้ลึกซึ้ง โดยไม่กระทบกับเพื่อนบ้าน เพราะถ้าเพื่อนบ้านใกล้เคียงเห็นไปตรงตำแหน่งของเขาก็จะเกิดความไม่สบายใจเกิดความขุ่นค้องหมองใจกันระหว่างเพื่อนบ้านด้วยกันได้.

  • อันดับรองเรื่องถนนคือ "ทางโค้ง"
ทางโค้ง คือลักษณะถนนที่วิ่งไม่เป็นเส้นตรง ตำแหน่งของลักษณะถนนที่โค้งเข้าโอบทำเลมีชื่อเรียก "โค้งเข็มขัดหยก" ถือเป็นตำแหน่งที่ดี ส่วนถนนที่โค้งออกตีจากทำเลมีชื่อเรียก "โค้งคมดาบ" ถือเป็นตำแหน่งเสีย


ทางโค้ง
ถ้าอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ก็จะเป็นได้ว่าลักษณะทางโค้งโอบรอบนั้น เมื่อเวลาสร้างมักทำทางให้เป็นองศาเทเข้าพื้นที่เพื่อให้ยานพาหนะมีสมรรถนะทรงตัวได้ดี อันตรายที่เกิดจากการสัญจรน้อยกว่าด้านที่โค้งตีจาก อีกทั้งทัศนวิสัยก็ดีกว่า

ในทางศาสตร์ฮวงจุ้ยถือว่าโค้งเข็มขัดหยกสามารถรับเก็บกระแสชีได้ดี ในทางตรงกันข้ามโค้งเข็มขัดหยก คือโค้งคมดาบไม่สามารถกักเก็บกระแสชีได้เสมือนทางจรจาก

แต่ทั้งนี้เราก็สามารถแก้และปรับสภาพทำเลที่อยู่ในโค้งคมดาบให้จากร้ายกลายเป็นดีได้โดยการพิจารณาจาก

อันดับแรก : ให้ดูว่าบ้านหรือสถานที่ที่เราใช้ประโยชน์อยู่เป็นธาตุอะไรโดยดูว่าหลังอิงทิศไหน สถานที่นั้นก็เป็นธาตุนั้น( ขอย้ำอีกครั้งว่าบทพื้นฐานที่เคยเขียนในบทต้นๆมีความสำคัญต้องจำขึ้นใจเพื่อใช้ปรับแต่งทำเลทุกครั้ง )
อันดับที่สอง : ดูว่าถนนที่วิ่งมาก่อนถึงทางโค้งอยู่ที่องศาที่เท่าไหร่เป็นทิศไหน, เป็นธาตุอะไร
อันดับสาม : ให้ทำการเชื่อมธาตุระหว่างธาตุของสถานที่และธาตุของทางถนนให้สอดคล้องเพื่อเป็นการดักกระแสชีก่อนตีจาก เช่น หากถนนวิ่งมาเป็นองศาของทิศเหนือ ทำเลหรือสถานที่ที่ใช้ประโยชน์หันหลังทิศตะวันออก ก็สามารถตั้งน้ำพุไว้บริเวณหน้าบ้านก่อนทางโค้งจาก เป็นต้น.

⭐ 🌟⭐ ป.ล. ในส่วนนี้หากมีเรื่องลักษณะของถนนที่น่าสนใจจะมาเขียนเพิ่มขยาย.⭐🌟⭐

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฮวงจุ้ย บทที่ 5 : ตำแหน่งของตัวบ้าน

าสตร์ฮวงจุ้ย แบ่งตำแหน่งของตัวบ้านออกเป็น 4 ตำแหน่ง ได้แก่ หน้าบ้าน, หลังบ้าน, ข้างซ้ายของตัวบ้าน, ข้างขวาของตัวบ้าน

ในเรื่องตำแหน่งของตัวบ้านนี้ไม่ต้องพิจารณาเรื่องทิศ ให้ดูที่ตำแหน่งของตัวบ้านได้เลย

โดยมีชื่อประจำตำแหน่งต่างๆคือ

  • หน้าบ้าน เรียกตำแหน่ง หงส์แดง
  • หลังบ้าน เรียกตำแหน่ง เต่าดำ
  • ด้านซ้ายของตัวบ้าน เรียกตำแหน่ง มังกรเขียว
  • ด้านขวาของตัวบ้าน เรียกตำแหน่ง เสือขาว


ความหมายของตำแหน่ง

"หงส์แดง" หมายถึง บริเวณหน้าบ้านทั้งหมด ตำแหน่งนี้ควรมีเนื้อที่โล่ง สะอาด ไม่ติดทางสัญจรมากจนเกินไป เป็นตำแหน่งที่อำนวยให้เกิดความเจริญ มีลาภผลกับผู้อยู่อาศัย( หมิงถัง )

"เต่าดำ" หมายถึง บริเวณด้านหลังของบ้านทั้งหมด ตำแหน่งนี้ควรมีต้นไม้สูง หรืออาคารที่มีความสูงมากกว่า เป็นตำแหน่งที่อำนวยให้มีผู้ให้ความสนับสนุน, ช่วยเหลือ

"มังกรเขียว" หมายถึง บริเวณด้ายซ้ายของตัวบ้าน ตำแหน่งนี้ควรเด่น หรือสูงกว่าด้านขวาของตัวบ้าน เป็นตำแหน่งที่อำนวยให้เกิดอำนาจแับผู้อาศัย และถือเป็นตำแหน่งของเพศชาย

"เสือขาว" หมายถึงด้านขวาของตัวบ้านทั้งหมด ตำแหน่งนี้ควรสวยงามอ่อนช้อย เป็นตำแหน่งที่อำนวยให้เกิดเสน่ห์กับผู้อาศัย และถือเป็นตำแหน่งของเพศหญิง

ให้สังเกตว่าหากตำแหน่งด้านใดมีลักษณะด้อย ก็สามารถดูได้เลยว่าผู้อาศัยในสถานที่นั้นขาดอำนาจในด้านที่บกพร่อง เช่น ตำแหน่งมังกรเขียว ด้อยกว่าตำแหน่งด้านเสือขาว ก็แปลว่าสถานที่แห่งนั้นผู้หญิงเป็นใหญ่ หรือผู้อาศัยมักเป็นผู้ถ่อมตัวแสดงความรู้ความสามารถต่ำกว่าที่เป็นจริง อีกตัวอย่างเช่น ตำแหน่งเต่าดำมีลักษณะด้อย ก็หมายถึงผู้ที่อาศัยในสถานที่นั้นมักขาดผู้ให้การสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ มักต้องฝ่าฟันอุปสรรคด้วยลำแข้งของตัวเอง เป็นต้น.

ฮวงจุ้ย บทที่ 4 : ทำเล

ทำเล [ n. ] site [ syn. ] สถานที่, ที่ตั้ง, ทำเลที่ตั้ง, ภูมิประเทศ

รื่องของทำเล ก่อนอื่นขอให้เข้าใจก่อนว่าทำเลนั้นแยกออกเป็น 2 แบบ คือ
  1. ทำเลเป็น เรียก "ฮวงจุ้ย" คือที่อยู่ของคนเป็น( เอี้ยงแทะ )
  2. ทำเลตายเรียก "ฮวงซุ้ย" คือที่อยู่ของผู้วายชนม์ หรือสุสาน( อิมแทะ )
อย่านำมาใช้สลับกัน เพราะทั้งสองทำเลในศาสตร์ต่างมีเนื้อหาแตกต่างกัน ในส่วนนี้จะขอกล่าวเรื่องของ "ฮวงจุ้ย" เป็นสำคัญก่อน

ลายๆคนคงเคยได้ยินว่า "หน้าน้ำ หลังภูเขา" เป็นทำเลที่ดี โดยเชื่อกันว่าด้านหน้าที่ติดน้ำจะเป็นทำเลให้ติดต่อหรือทำการค้าขายเจริญรุ่งเรือง ส่วนด้านหลังติดภูเขามีความเชื่อว่าเป็นทำเลให้มีผู้สนับสนุน หากวิเคราะห์ตามหลักเหตุและผลก็คือ สมัยก่อนนิยมเดินทางทางน้ำ ถือเป็นทางที่สะดวกกว่าทางบกเพราะสามารถขนถ่ายสินค้าได้ดีกว่า การมีสายน้ำผ่านหน้าบ้านถือเป็นช่องทางการไปมาหาสู่ติดต่อที่สะดวก และต้องอยู่หน้าบ้านเพื่อที่แขกไปใครมาจะได้มองเห็น และผู้มาเยือนไม่เห็นความเป็นส่วนตัวในครัวเรือนมากนัก
ส่วนหลังภูเขา ก็เพื่อการสังเกตสถานที่ตั้งได้โดยง่าย และยังเป็นเกราะป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อีกด้วย..

ปัจจุบันศาสตร์ฮวงจุ้ยได้ปรับให้เข้ายุคเข้าสมัย โดยถือว่าถนนก็ถือเป็นตำแหน่งหน้าบ้านที่ดีเปรียบดังสายน้ำ เพราะนิยมใช้เป็นทางสัญจรที่สะดวกมากขึ้น.

วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฮวงจุ้ย บทที่ 3 : ทิศ และความสัมพันธ์

ทิศเป็นเรื่องที่สำคัญของศาสตร์ฮวงจุ้ย


หล่อแก(  Luopan )


หากเราไม่รู้ทิศเรียกได้เลยว่าไม่สามารถปรับแต่งฮวงจุ้ยได้เลย ทิศมีความสัมพันธ์กับหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องธาตุ, ตำแหน่งของบุคคลในบ้าน, ตำแหน่งอวัยวะต่างๆของผู้อาศัย รวมทั้งสีต่างๆที่จะส่งผลให้เกื้อกูลหรือขัดแย้งกัน

ทิศเหนือ : ในหล่อแก( เข็มทิศบอกตำแหน่งในศาสตร์ฮวงจุ้ย )เรียก KAN หรือ ข่าน สัมพันธ์กับ ธาตุน้ำ, ตำแหน่งคนในบ้าน คือลูกชายคนกลาง, อวัยวะที่สัมพันธ์คือ ระบบเลือดและหู, สี ที่สัมพันธ์คือ ดำหรือกรมท่า ในทิศนี้ถือเป็นทิศที่มีพลังงานแม่เหล็กสูงสุด

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ : ในหล่อแกเรียก KEN หรือ เข่น สัมพันธ์กับ ธาตุดินเล็ก( ลักษณะดินโคลนที่มีตะไคร่ขึ้น ), ตำแหน่งของคนในบ้านคือลูกชายคนเล็ก, อวัยวะที่สำพันธ์คือ แขนและมือ, สี ที่สัมพันธ์คือ สีดำ, สีคราม, สีเขียวอ่อน

ทิศตะวันออก : ในหล่อแกเรียก CHEN หรือ เฉิน สัมพันธ์กับธาตุไม้ใหญ่( ลักษณะไม้แตกกิ่งก้านสาขา ), ตำแหน่งของคนในบ้าน คือลูกชายคนโต, อวัยวะที่สัมพันธ์คือ ขา, เข่าและเท้า, สี ที่สัมพันธ์คือสีเขียวแก่

ทิศตะวันออกเฉียงใต้ : ในหล่อแกเรียก SUN หรือ ซัน สัมพันธ์กับธาตุไม้เล็ก( ลักษณะไม้พุ่ม, กอ ), ตำแหน่งของคนในบ้าน คือลูกสาวคนโต, อวัยวะที่สัมพันธ์คือ เอว, สะโพก, สี ที่สัมพันธ์คือ ม่วง, แดง

ทิศใต้ : ในหล่อแกเรียก LI หรือ ลี่ สัมพันธ์กับธาตุไฟ, ตำแหน่งของคนในบ้าน คือลูกสาวคนกลาง, อวัยวะที่สัมพันธ์คือดวงตา, สี ที่สัมพันธ์คือสีแดง

ทิศตะวันตกเฉียงใต้ : ในหล่อแกเรียก KUN หรือ คุน สัมพันธ์กับธาตุดินใหญ่( ดินภูเขา, หินก้อนใหญ่ ), ตำแหน่งของคนในบ้าน คือแม่, อวัยวะที่สัมพันธ์คือช่องท้อง, สี ที่สัมพันธ์คือสีน้ำตาล, เหลือง, ชมพูอิฐ, ขาว

ทิศตะวันตก : ในหล่อแกเรียก TUI หรือ ตุ้ย สัมพันธ์กับธาตุทอง( โลหะเล็ก ), ตำแหน่งที่สัมพันธ์ของคนในบ้าน คือลูกสาวคนเล็ก, อวัยวะที่สัมพันธ์คือช่องปากและลำคอ, สี ที่สัมพันธ์คือสีขาว, สีโลหะมันวาว, สีทองแดง

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ : ในหล่อแกเรียก CHIEN หรือ เฉียน สัมพันธ์กับธาตุทอง( โลหะใหญ่ ), ตำแหน่งของคนในบ้าน คือพ่อ, อวัยวะที่สัมพันธ์คือศรีษะและสมอง, สี ที่สัมพันธ์คือสีขาว, เทา, ดำ( สีเหมือนตะกอนขุ่น )

ะเห็นได้ว่า นอกจากทิศจะมีความสัมพันธ์กับธาตุแล้วยังมีผลกับบุคคลและอวัยวะต่างๆด้วย หากในพื้นที่บ้านทิศไหนเกิดความเสียหายก็จะมีผลกระทบกับบุคคลและอวัยวะตามตำแหน่งนั้น.

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฮวงจุ้ย บทที่ 2 : ธาตุ

าตุ เป็นเรื่องสำคัญและเป็นพื้นฐานจำเป็นที่ผู้ต้องการศึกษาเรื่องฮวงจุ้ยจำเป็นต้องรู้ และเข้าใจอย่างถ่องแท้


ความหมายของ "ธาตุ" จาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน [ ทาด ทาตุ ทาดตุ ] น. สิ่งที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่คุ้มกันเป็นร่างของสิ่งทั้งหลาย โดยทั่วๆไปเชื่อว่ามี ๔ ธาตุ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ก็อาจมีธาตุอื่นๆอีก เช่น อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ธาตุไม้ ธาตุทอง ธาตุเหล็ก.

ธาตุตามศาสตร์ฮวงจุ้ย


Credit picture : www.tonictinctures.com
ความสัมพันธ์ของธาตุตามศาสคร์ฮวงจุ้ย
บรมจารย์นักปราชญ์ชาวจีนแต่ครั้งโบราณได้ศึกษาและพบว่าโลกประกอบด้วยธาตุสำคัญอยู่ 5 ธาตุ และได้ศึกษาธาตุทั้ง 5 อย่างลึกซึ้งแตกฉาน และพบว่าแต่ละธาตุต่างมีความสัมพันธ์ต่อกันทั้งก่อเกิดส่งเสริม และขัดแย้งทำลายซึ่งกันและกันเป็นวงจรต่อเนื่อง และได้นำหลักความรู้ในวิทยาการดังกล่าวมาใช้เพื่อแก้ไข ปรับปรุงและป้องกันภัย เพื่อสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยอันยังประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของชุมชน
นอกจากนี้ยังดัดแปลงนำมาประกอบกับศาสตร์อื่นๆ( ซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อๆไป )

ธาตุทั้ง 5 ได้แก่
  1. ธาตุน้ำ
  2. ธาตุไม้
  3. ธาตุไฟ
  4. ธาตุดิน
  5. ธาตุทอง
สภาพส่งเสริม และขัดแย้งของธาตุทั้ง 5

สภาพการส่งเสริมของธาตุ เป็นไปตามหลักของธรรมชาติ เป็นวงจรต่อเนื่อง( ดูภาพประกอบคือตามเข็มนาฬิกา )
  • ธาตุน้ำ ส่วเสริม ธาตุไม้ ; โดยหลักธรรมชาติคือต้นไม้อาศัยน้ำเพื่อความเจริญงอกงามดังนี้แล้วจึงถือว่าธาตุน้ำส่งเสริมธาตุไม้
  • ธาตุไม้ ส่งเสริม ธาตุไฟ ; ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆคือ เราใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิงในการจุดไฟ หรือตามธรรมชาติเมื่อต้นไม้ที่เจริญเติบโตมากๆแล้วในป่าเมื่อมีลมพัดเกิดเสียดสีกันเกิดไฟป่าเป็นต้น
  • ธาตุไฟ ส่วเสริม ธาตุดิน ; จากตัวอย่างข้อที่แล้วเมื่อเกิดการลุกไหม้ของไฟจนมอดดับแล้วจะเกิดขี้เถ้าหรือธาตุดิน
  • ธาตุดิน ส่งเสริม ธาตุทอง : เมื่อขี้เถ้ารวมตัวกันเป็นธาตุดินแล้วเมื่อเกิดทับถมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเกิดควบแน่นจนเกิดแร่ธาตุ, ลาวา( น.หินหนืดใต้เปลือกโลกที่พุพุ่งไหลออกมาจากปล่องภูเขาไฟ )และแร่ธาตุเมื่อมีเยอะขึ้นรวมตัวเป็นสายแร่ ซึ่งมนุษย์นำมาเป็นวัสดุใช้ประโยชน์ทั้งภาชนะ, เครื่องมือล่าสัตว์, เครื่องมือการเกษตร, ที่อยู่อาศัย และสร้างงานประติมากรรม
  • ธาตุทอง ส่งเสริม ธาตุน้ำ ; สายแร่บางชนิดขณะเกิดปฏิกริยาควบแน่นประกอบสภาพอากาศในบางพื้นที่ก่อให้เกิดหยดน้ำและรวมตัวเป็นตอน้ำพุด และไหลเป็นสายน้ำต่างๆ
สภาพการขัดแย้งของธาตุ เป็นไปตามหลักของธรรมชาติเช่นกัน( ดูภาพประกอบคือธาตุที่ตรงข้ามกัน )
  • ธาตุน้ำ ขัดแย้ง ธาตุไฟ ; โดยธรรมชาติเมื่อเกิดอัคคีภัย( น.ภัยที่เกิดจากไฟ, ไฟไหม้ )เราก็ใช้น้ำดับ หรือหากเกิดวัสดุเชื้อเพลิงที่จะนำมาก่อไฟเปียกน้ำชื้น ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนี้ถือได้ว่าน้ำไม่ถูกกับไฟหรือขัดแย้งกัน
  • ธาตุไม้ ขัดแย้ง ธาตุดิน : สังเกตได้ว่าตามธรรมชาติต้นไม้จะมีรากชอนไชลงไปแยกพื้นดินเพื่อยึดลำต้นและดูดซับอาหารทำลายสภาพดิน
  • ธาตุไฟ ขัดแย้ง ธาตุทอง : ธาตุทองคือโลหะ และการแปลรูปโลหะทำได้โดยใช้ความร้อนหลอมละลายโลหะ ดังนี้ธาตุไฟจึงสามารถทำลายล้างสภาพโลหะ, ทอง ได้
  • ธาตุดิน ขัดแย้ง ธาตุน้ำ ; ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ เมื่อเกิดตลิ่งงอก หรือดินเคลื่อนตัวไปขวางทางน้ำสามารถทำให้เกิดทางน้ำเปลี่ยนได้ หรือการสร้างเขื่อน ทำนบกั้นน้ำ ก็ใช้ดินวางขวางทางน้ำ อีกทั้งเมื่อเราจะถมคู คลอง หนองน้ำ ก็ใช้ดินถมเป็นต้น
  • ธาตุทอง ขัดแย้ง ธาตุไม้ : ธาตุทองคือโลหะทั้งมวล มนุษย์เรียนรู้ที่จะนำโลหะมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ยุคโลหะ( Metal Age )เป็นยุคที่อยู่ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5,000-6,000 ปีก่อนพุทธศักราช ยุคที่มนุษย์นำ ทองแดง, สำริด และเหล็ก มาหล่อหรือขึ้นเป็นมีด, หอก, ดาบ เพื่อใช้ในการล่าสัตว์ หรือนำมาประกอบเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับ มนุษย์สมัยนั้นพัฒนาการเป็นอยู่ อาศัยและการเกษตรให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้เครื่องมือในการแผ้วถางต้นไม้ในป่าเพื่อขยายที่อยู่ หรือเพื่อการเกษตรส่วนใหญ่มาจากโลหะ จึงถือได้ว่าธาตุทองขัดแย้งทำร้ายธาตุไม้นั้นเอง.

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฮวงจุ้ย บทที่ 1 : หยิน-หยาง

รื่องที่สำคัญอันดับต้นของผู้ที่สนใจในศาสตร์ฮวงจุ้ยต้องคำนึงถึงคือเรื่องของพลัง "หยิน" และ "หยาง"

หยิน-หยาง เป็นแนวความคิดสำคัญมาจากลัทธิเต๋า หรือ ศาสนาเต๋า( จีน :  道教 Dàojiao ; อังกฤษ : Taoism )เป็นศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติ โดยคำว่า เต๋า แปลว่า "มรรค" หรือ "หนทาง" ซึ่งไม่สามารถรู้ได้ด้วยอักษรและชื่อ ถ่ายทอดไม่ได้ โดยมี "เล่าจื้อ" เป็นศาสดาของศาสนาโดยมีคัมภีร์ชื่อ "เต้าเต๋อจิง" ( 道德經 Dàodéjīng )เป็นแนวทาง

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจความหมายก่อนว่า

  • หยาง( 陽 yáng ) คือ ความสว่าง ความร้อน ความกระตือลือล้น ความเคลื่อนไหว พระอาทิตย์ เพศชาย เป็นต้น
  • สัญลักษณ์ หยิน-หยาง
  • หยิน( 陰 yīn ) คือ ความมือ ความเย็น ความสงบ ความนิ่ง พระจันทร์ เพศหญิง เป็นต้น
เมื่อทราบดังนี้แล้วจะเห็นว่า "หยิน" และ "หยาง" คือความหมายตรงกันข้ามที่คู่กัน ทุกที่ในโลกล้วนมีทั้งความสว่าง, ความมืด มีทั้งบริเวณที่ร้อนและเย็น มีความแข็งและมีความอ่อนนุ่ม ดังนี้เราสามารถรับรู้ได้เมื่อเวลาเราไปอยู่ในสถานที่ใดแล้วรู้สึกบริเวณนั้นมีความร้อนหรือพลุกพล่านมากๆ ก็แสดงว่าบริเวณนั้นมีกระแสของ "หยาง" มาก ส่วนที่ใดที่เราเข้าไปแล้วรู้สึกเย็น หนาว หรือเงียบสงบ, มืด แสดงว่าบริเวณนั้นมีกระแสของพลังงาน "หยิน" มาก ในที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงานที่ดีควรต้องมีกระแสทั้งสองสมดุลกัน หากกระแสใดกระแสหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้สถานที่นั้นๆขาดภาวะสมดุล อาจทำให้ผู้อยู่อาศัยหรือใช้สถานที่นั้นๆมีปัญหาด้านสุขภาพหรือการงานไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ดังนั้นหากสถานที่ใดมีกระแสใดมากกว่าก็ต้องปรับทำเลที่นั้นให้เกิดภาวะสมดุล

ทั้งนี้เรื่องของวิจารณญาณเป็นส่วนสำคัญด้วยว่าบริเวณใดของทำเลควรมีกระแสชนิดใด เช่น ห้องนอน ควรมีกระแส "หยิน" มากกว่าเพื่อการพักผ่อนเป็นบริเวณที่ต้องการความสงบ เป็นต้น ในการปรับทำเลให้มีความสมดุล หรือเพิ่ม, ลด กำลังของกระแสนั้นใช้หลักของการปรับธาตุอันจะได้กล่าวในบทต่อไป.

ฮวงจุ้ย : ความหมาย



วงจุ้ย 

เป็นการออกเสียงตามสำเนียง จีนแต้จิ๋ว 

ตัวย่อ  : 风水
ตัวเต็ม : 風水
ในภาษาไทย "ฮวง" แปลว่า ลม และ "จุ้ย" แปลว่า น้ำ
ในภาษาอังกฤษ : Feng shui


ฮวงจุ้ย เป็นศาสตร์เก่าแก่ ได้รับการสืบทอดมาหลายรุ่นหลายสมัย และยังมีการเผยแพร่สืบทอดแตกต่างหลายสำนัก ซึ่งต่างก็นำไปปรับใช้ให้เข้ากับสภาพภูมิลำเนาที่ผู้สืบทอดไปตั้งหลักปักถิ่นฐาน จึงมีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่บ้างแต่โดยพื้นฐานแล้วก็คล้ายครึงกัน นักปราชญ์ชาวจีนโบราณ ได้ค้นพบว่าพลังงานต่างๆบนโลกมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ ศาสตร์ฮวงจุ้ยจึงเป็นศาสตร์ที่อาศัยหลักการของการไหลเวียนของพลังงานบนผืนโลก หรือทางวิทยาศาสตร์เรียกคลื่นแม่เหล็ก อันประกอบด้วยคลื่นบวก และคลื่นลบ โดยพื้นฐานจะวิ่งระหว่างทิศเหนือ และทิศใต้ ตัวอย่างเช่น เข็มทิศจะชี้ระหว่างทิศเหนือ และทิศใต้เสมอ ในศาสตร์ฮวงจุ้ยเรียกพลังงานนี้ว่า "ฉี" หรือ "ชี่"

นอกจากนี้ศาสตร์ฮวงจุ้ยยังประกอบด้วยการพิจารณาของ หยิน และ หยาง การพิจารณาตำแหน่งของสถานที่รวมทั้งทิศ และธาตุ ซึ่งจะกล่าวในโอกาสต่อไป นอกจากนี้ต้องประกอบกับทราบเรื่องรายละเอียดของชะตาของผู้อยู่อาศัย หรือใช้ประโยชน์ในสถานที่นั้นๆด้วย เพื่อให้ตำแหน่งของสถานที่ส่งผลเกื้อกูล และขจัดอุปสรรค ให้เกิดความกลมกลืนสมดุล อันนี้ถือเป็นหลักสำคัญใน 3 ประการที่ต้องนำมาประกอบผสานกันจึงจะได้ผลสมบูรณ์คือ ฟ้าลิขิต ดินบันดาล ประสานบุคคล

: ฟ้าลิขิต ก็คือ ความแตกต่างของมนุษย์ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆคือคนเรามีความถนัด, บุคลิกภาพ, ความชอบ, ต้นทุน แตกต่างกันซึ่งในโบราณถ้าจะหาคำตอบว่าทำไม คำตอบที่ได้ก็คงเป็นเพราะฟ้า หรือเบื้องบนให้เรามาเป็นอย่างนั้นๆ หากเปรียบทางธรรมทางพุทธศาสนา ก็คือกรรมที่เราได้ทำในอดีตชาติส่งให้เราเป็นเช่นนี้ในปัจจุบันชาติ ซึ่งต่างคนต่างก็ตกแต่งกรรมแตกต่างกันมา เราจึงมีความเป็นที่แตกต่างกันนั้นเอง
: ดินบันดาล ก็คือ การที่เราได้รับผลจากสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ เช่น หากเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีปราศจากมลพิษ นั้นย่อมส่งผลให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัย หากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ เราก็เกิดมลภาวะ มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน เป็นต้น
: ประสานบุคคล ก็คือ ไม่ว่าดวงเราจะดีเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีเพียงใดก็ตาม หากแม้บุคคลนั้นๆไม่กระทำการใดให้เกิดความเจริญ ให้เกิดความรุ่งเรืองเพิ่มพูน ทั้งหลายทั้งมวลเหล่านั้นก็หาประโยชน์อันใดไม่ได้เลย.

บทนำ


ากที่ได้เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับ "ฮวงจุ้ย" มาหลายครั้งหลายที่ ด้วยเพราะมีคนที่รู้จักหลายๆท่านมีความสนใจ และปรารถนาจะศึกษา และมีบางท่านใจร้อนศึกษาผิวเผิน จนเกิดคำถาม "ไปซื้อตำรามาจัดฮวงจุ้ย และปรับแต่งทำเลที่อยู่อาศัยของตนแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ชีวิตยังไม่ดีขึ้น" จนเป็นที่กังขาว่าเป็นศาสตร์ที่เชื่อถือได้หรือไม่? จึงเกิดความคิดนำมาเขียนใส่ blog ไว้โดยจะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายเท่าที่ความสามารถอำนวย หวังเผื่อยังประโยชน์ต่อผู้สนใจ.


จัดฮวงจุ้ยอย่างไรให้ประสบผล
แต่ครั้งบรรพกาลครูบาอาจารย์ท่านได้บันทึกศาสตร์ฮวงจุ้ย และส่งสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน ในศาสตร์อื่นใดที่ "ไม่เป็น" องค์ความรู้ที่มีประโยชน์, เชื่อถือได้, ใช้การได้จริง "ภูมิปัญญา" นั้นๆก็มักเสื่อมถอยหายสาบสูญไปในที่สุด แต่ศาสตร์ฮวงจุ้ยได้รับการสืบทอดมาได้นานกว่า 7,000 ปี โดยมีนัยว่า สถานที่แบบไหนเหมาะสมกับการพักอาศัยหรือการทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร ส่วนนี้เรียก "ทำเล" แต่ละที่ย่อมมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่าง หาที่เสมอกันนั้นน้อยมาก เพราะเพียงผืนที่ดินที่ติดกัน หันทิศเดียวกัน ผืนหนึ่งเป็นที่ดอนกับอีกผืนหนึ่งเป็นที่ลุ่มสภาพก็ส่งผลต่างกันแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น เมื่อฝนตก ผืนที่เป็นดอนก็ไม่สามารถรองน้ำได้เท่าผืนที่ที่เป็นที่ลุ่ม กลับกันหากเกิดการท่วมขังของน้ำ ผืนที่ลุ่มย่อมได้รับความเสียหายมากกว่า เป็นต้น.
ดังนี้แล้วบุคคลแต่ละบุคคลซึ่งก็เป็นผู้มีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติในแต่ละบุคคล( นิสัย )กอปรกับความชอบร้อน, หนาว ไม่เหมือนกันอาศัยในทำเลที่คล้ายกันก็ยังส่งความแตกต่างในการอาศัยในที่นั้นๆ ตรงนี้เป็นข้อยืนยันที่เคยเขียนมาตลอดว่า "ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องละเอียดซับซ้อน แต่ไม่ยากหากทำความเข้าใจ"


ด้วยเหตุนี้นอกจากความรู้ในหลักฮวงจุ้ยแล้ว ผู้มีความสนใจที่ต้องการเห็นผลสำเร็จควรต้องรู้เรื่องในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลด้วย( Ex.โหราศาสตร์, ดวงจีน )เพื่อรู้เบื้องลึกของบุคคลที่ใช้ประโยชน์จากทำเล,อาศัยในทำเลนั้นๆ ไม่ใช่เพียงแต่เปิดตำราหาข้อมูลแล้วปรับแต่งทำเลตามตำแหน่งทิศทางตารางธาตุแบบศึกษาอย่างผิวเผิน ทั้งนี้เมื่อมีความรู้เกี่ยวกับบุคคลแล้วสามารถปรับแต่งสถานที่ให้เกิดความสอดคล้อง, ส่งเสริมผู้อาศัยก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง เช่น คนในครอบครัวผู้ที่มีนิสัยเชื่อยชา ย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่มีความกระตือรือร้นรับผิดชอบ การตกแต่งส่วนที่พักผ่อน มุมส่วนตัวด้วยสภาพให้เกิดความตื่นตัวก็สามารถส่งผลให้ความบกพร่องน้อยลง ส่วนคนไหนในครอบครัวที่ใจร้อน รวดเร็ว มุทะลุ ย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ส่งผลให้สุขสงบ จัดแต่งที่ผักผ่อนมุมส่วนตัวของเขานั้นๆให้ร่มรื่นร่มเย็นก็สามารถบรรเทาความดุดันให้เกิดความสมดุล เป็นต้น.

ดังนี้จะเห็นได้ว่าศาสตร์ฮวงจุ้ยไม่ใช่ศาสตร์สร้างปาฏิหาริย์ แต่เป็นศาสตร์ที่นำกำลังของธรรมชาติรอบตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์{ ธาตุ, กระแสชี่( ฉี้ )หรือเรียกอีกอย่างว่าคลื่นแม่เหล็ก }และจะไม่ส่งผลได้เลยหากทำเลที่จัดไม่สอดคล้องเพื่อปรับเปลี่ยน, ส่งเสริมบุคคลที่พำนักอาศัยในที่นั้นๆ และที่สำคัญเมื่อสภาพต่างๆดีขึ้นประสบความสำเร็จ ก็ยังต้องหมั่นสังเกตสภาพ, สภาวะโดยรอบของทำเลว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพื่อปรับแต่งทำเลให้ถูกต้องสอดคล้อง

หวังใจว่าจะยังประโยชน์ให้เข้าใจเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย.


เรื่องล่าสุด

ฮวงจุ้ย บทที่ 12 การคำนวณเลขรหัสของบุคคล

เ รื่องรหัสของบุคคลนี้ มีความสำคัญที่ต้องเข้าใจอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเราทราบรหัสของแต่ละบุคคลแล้วเราสามารถนำไปเทียบว่าบุคคลใดเป็นผู้มีธาตุอะ...

บทความที่ได้รับความนิยม